10 เมืองน่าเที่ยว จอร์เจีย ค่าครองชีพถูก วิวยุโรป ฟรีวีซ่าคนไทย !
- 24 June 2023
- kung
10 เมืองน่าเที่ยว จอร์เจีย ค่าครองชีพถูก วิวยุโรป ฟรีวีซ่าคนไทย !
แทบไม่น่าเชื่อเลย ว่าเราจะมองข้ามประเทศเล็กๆ แสนน่ารักน่าเที่ยวอย่างนี้มานาน นั่นคือ จอร์เจีย ดินแดนสุดขอบทวีปเอเชีย ที่มีบรรยากาศแบบยุโรปผสมกับโซเวียตอย่างลงตัวเป๊ะ เต็มไปด้วยที่เที่ยวธรรมชาติทั้งป่า แม่น้ำ ภูเขา ที่สำคัญคือคนไทยยังไปฟรี ! เพราะไม่ต้องขอวีซ่า อยู่ได้ถึง 365 วันเลยทีเดียวเชียว ค่าครองชีพถูกเหมือนอยู่บ้านเราอีกต่างหาก และที่สำคัญตอนนี้ยังสามารถไปเที่ยวได้โดยไม่ต้องกักตัว สำหรับคนที่มีหลักฐาน และใบรับรองการฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้วด้วย โอ้โห อธิบายขนาดนี้แล้ว รีบมาทำความรู้จักกับจอร์เจียให้มากขึ้นอีกสักนิดกันดีกว่า
จอร์เจีย หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐจอร์เจีย นั้นตั้งอยู่ในทวีปเอเชีย ทิศตะวันตกติดชายฝั่งทะเลดำ ทางใต้ติดกับประเทศตุรกี อาร์มีเนีย ทิศตะวันออกจรดพรมแดนอาเซอร์ไบจาน ส่วนทางเหนือจะติดกับรัสเซีย โดยมีเทือกเขาคอเคซัสเป็นตัวแบ่งพรมแดนระหว่างทวีปยุโรป และทวีปเอเชียด้วยกัน (ในอดีตจอร์เจียเคยเป็นสาธารณรัฐหนึ่งของสหภาพโซเวียตด้วย)
====================
9 เมืองท่องเที่ยวไฮไลท์ในจอร์เจีย
1. เมืองหลวงทบิลิซี (Tbilisi)
เมืองหลวงที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์แบบเมืองเก่าไว้ได้เป็นอย่างดี ทั้งสีสันต่างๆ อาคารบ้านเรือนที่ผสมผสานสถาปัตยกรรมของแต่ละยุค ที่สำคัญคือรายล้อมด้วยภูเขาสูงใหญ่สุดลูกหูลูกตา เป็นภาพที่หาได้ยากในเมืองหลวงอื่นในยุโรปจริงๆ ครับ ที่ทบิลิซีมีเคเบิลคาร์จากสวนไรค์ (Rike Park) ให้ขึ้นไปชมวิวแบบพาโนรามาบนป้อมปราการ นาริกาลา (Narikala) ด้านบน ค่าโดยสารเพียง 1 ลารีจอร์เจียเท่านั้นครับ
ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของ ทะเลสาบทบิลิซี (Tbilisi Sea) ทะเลสาบเทียมที่รายล้อมไปด้วยวิวทิวทัศน์ของป่าไม้ และเทือกเขา เป็นแหล่งปิคนิคยอดนิยมของคนที่นี่ครับ โดยเฉพาะหน้าร้อนผู้คนจะมาชุมนุมทำกิจกรรมกันที่นี่เยอะมาก
====================
2. เมืองหลวงเก่าจอร์เจีย มิชเคห์ตา (Mtskheta)
อดีตเมืองหลวงในช่วงศตวรรษที่ 5 ของจอร์เจีย อยู่ห่างจากทบิลิซีเพียง 20 กิโลเมตร เป็นเมืองเล็กๆ ที่มีภูมิประเทศอันสวยงาม อาคารบ้านเรือนยังคงความเป็นยุคกลสงเหมือนเดิม รายล้อมไปด้วยไร่องุ่นสายพันธุ์สำหรับทำไวน์
ที่นี่ยังมีโบสถ์ที่ได้รับการจดทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมถึง 3 แห่ง ได้แก่ Svetitskhoveli Cathedral, Samtavro Church and Monastery และ Mtskhetis Jvari ความิเศษอีกอย่างของเมืองนี้ก็คือจุดบรรจบระหว่างแม่น้ำ 2 สาย คือแม่น้ำอักราวิ (Aragvi) และแม่น้ำมิกวาริ (Mtkvari) ซึ่งเป็นแม่น้ำที่มีสีต่างกันอีกด้วย กลายเป็นภาพแปลกตาเมื่อยามมารวมตัวกัน
====================
3. เมืองโบราณอุพลิสชิเค (Uplistsikhe)
เมืองถ้ำโบราณที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเช่นกัน ประมาณอายุแล้วน่าจะสร้างมาตั้งแต่สมัยยุคหิน อายุกว่า 3,000 ปีแล้ว เมืองนี้ใช้การสร้างโดยเจาะภูเขาหินจนลึกเข้าไปเป็นถ้ำ และมีการอยู่อาศัยกันจนเป็นชุมชนใหญ่ มีทั้งที่พักอาศัย ร้านค้า โบสถ์ คุก ฯลฯ รอบๆ เมืองยังมีวิวเทือกเขา และแม่น้ำมิกวาริที่สวยงามด้วย
====================
4. หมู่บ้านจูทา (Juta)
หมู่บ้านเล็ก ๆ กลางหุบเขาในเทือกเขาคอเคซัส ที่ใครๆ หลายคนยกให้มีความงามเทียบเท่าสวิสเลยทีเดียว ด้วยความที่มีวิวทุ่งหญ้าเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา ฉากหลังเป็นยอดเขาสูงใหญ่อลังการมีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี จึงทำให้ที่นี่เป็นจุดเดินเขายอดนิยมของนักผจญภัย มีที่พักทั้งแบบกางเต็นท์ และแบบพักเกสต์เฮาต์เป็นกระท่อมหลังเล็ก ๆ กลางหุบเขาด้วย
====================
5. เมืองบนเทือกเขา คาซเบกิ (Kazbegi)
หมู่บ้านเล็ก ๆ กลางหุบเขาในเทือกเขาคอเคซัส ที่ใครๆ หลายคนยกให้มีความงามเทียบเท่าสวิสเลยทีเดียว ด้วยความที่มีวิวทุ่งหญ้าเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา ฉากหลังเป็นยอดเขาสูงใหญ่อลังการมีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี จึงทำให้ที่นี่เป็นจุดเดินเขายอดนิยมของนักผจญภัย มีที่พักทั้งแบบกางเต็นท์ และแบบพักเกสต์เฮาต์เป็นกระท่อมหลังเล็ก ๆ กลางหุบเขาด้วย
====================
5. เมืองบนเทือกเขา คาซเบกิ (Kazbegi)
หมู่บ้านเล็ก ๆ กลางหุบเขาในเทือกเขาคอเคซัส ที่ใครๆ หลายคนยกให้มีความงามเทียบเท่าสวิสเลยทีเดียว ด้วยความที่มีวิวทุ่งหญ้าเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา ฉากหลังเป็นยอดเขาสูงใหญ่อลังการมีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี จึงทำให้ที่นี่เป็นจุดเดินเขายอดนิยมของนักผจญภัย มีที่พักทั้งแบบกางเต็นท์ และแบบพักเกสต์เฮาต์เป็นกระท่อมหลังเล็ก ๆ กลางหุบเขาด้วย
====================
5. เมืองบนเทือกเขา คาซเบกิ (Kazbegi)
คาซเบกิตั้งอยู่บนภูเขาคาซเบก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาคอเคซัสทางตะวันออกเฉียงเหนือของจอร์เจีย ที่ควมสูงกว่า 2,170 เมตร ทำให้การมาที่นี่ต้องนั่งรถโฟล์วีลขึ้นมา หรือเดินตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ใช้เวลาราว ๆ 1-2 ชั่วโมงก็ถึง โดยมีที่เที่ยวเด่นก็คือโบสถ์เก่าแก่ Gergeti Trinity Church สร้างมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 14 โดยมีด้านหลังเป็นแนวยอดเขาคาซเบกิอันยิ่งใหญ่เป็นแบ็คกราวน์
====================
6. เมืองสกีรีสอร์ท กูเดาริ (Gudauri)
กูเดาริน่าจะถูกใจสายเที่ยวหน้าหนาว นอนเล่นหิมะเป็นแน่แท้ เพราะที่นี่จะกลายสภาพเป็นภูเขาหิมะขนาดใหญ่ไว้เล่นสกี และกีฬาฤดูหนาวทุกรูปแบบ บนความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 2,200 เมตร มีความยิ่งใหญ่อลังการไม่แพ้เทือกเขาแอลป์ของฝั่งยุโรปเลยทีเดียว
====================
7. เมืองตากอากาศ บอร์โจมิ (Borjomi)
เมืองเล็กน่ารักอันแสนเงียบสงบ และมีชื่อเสียงในด้านน้ำแร่มากที่สุดของประเทศ เพราะเป็นแหล่งน้ำพุร้อนธรรมชาติ มีที่พักมากมายที่เปิดให้บริการแช่น้ำพุร้อน และความดีก็คือที่นี่มีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี แช่น้ำร้อนตอนไหนก็ฟิน
====================
8. หมู่บ้านมรดกโลก อุชกูลลิ (Ushguli)
หมู่บ้านที่ได้ชื่อว่าเป็นชุมชนที่อยู่สูงที่สุดในทวีปยุโรป ที่ความสูง 2,100 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 300 คนเท่านั้น แต่ก็มีโรงเรียน โบสถ์ ร้านอาหาร ร้านค้า โรงแรม ที่พัก ครบจบในที่เดียว แม้นักท่องเที่ยวอาจจะน้อยจนเงียบๆ ไปบ้าง แต่นี่ก็คือเสน่ห์ที่แท้จริงของที่นี่ ซึ่งมีความเรียบง่าย และชาวเมืองยังรักษาวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมไว้ได้เป็นอย่างดี ที่นี่เที่ยวได้ทุกฤดูครับ แต่ถ้าเป็นหน้าหนาวที่นี่จะมีหิมะปกคลุมนานถึง 6 เดือนเลยทีเดียว
====================
9. ชุมชนปล่องไฟ เมสเตีย (Mestia)
เมสเตีย เป็นเมืองเล็กๆ ตั้งอยู่ระหว่างทางไปเมืองอุชกูลลิ เอกลักษณ์ที่ชัดเจนของเมืองนี้ คือทุกบ้านจะมีหอคอยขนาดใหญ่เห็นเด่นชัด ที่หากมองไกลๆ จะนึกว่าเป็นปล่องไฟเลยทีเดียว ซึ่งในสมัยก่อนใช้เพื่อการรักษาความปลอดภัยของเมือง แม้จะเป็นเมืองเล็กแต่บรรยากาศยิ่งใหญ่มาก รายล้อมด้วยภูเขา ด้วยความสูง 1,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มีพิพิธภัณฑ์ให้ศึกษาประวัติศาสตร์อยู่ 2-3 แห่ง อีกอย่างที่น่าสนใจก็คือที่นี่มีเส้นทางเดินเขาชมป่าสนด้วย น่าจะถูกใจสาย trekking เป็นแน่
====================
10. เมืองริมทะเลดำ บาทูมิ (Batumi)
กลับมาเที่ยวเมืองกันบ้าง ที่บาทูมิ เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของจอร์เจีย อยู่ริมชายฝั่งทะเลดำบริเวณเชิงเขาคอเคซัส ที่ภายในเมืองจะมีการผสมผสานกันระหว่างวัฒนธรรมดั้งเดิม และสมัยใหม่ไว้อย่างลงตัว ใครชอบที่เที่ยวเอนเตอร์เทนเมนต์เยอะๆ น่าลองมาแวะครับ
====================
เที่ยว จอร์เจีย เดือนไหนดี ?
สภาพอากาศของจอร์เจียค่อนข้างหลากหลายครับ หลักๆ แล้วฝั่งทางตะวันตกอากาศจะอบอุ่นมากกว่าทางด้านตะวันออกเพราะอยู่ติดกับทะเลดำ พูดกันตามตรงจอร์เจียเที่ยวได้ทั้งปีครับ อยู่ที่ว่าชอบบรรยากาศของฤดูไหนากกว่า โดยอุณหภูมิเฉลี่ยแต่ละช่วงก็ได้แก่
ฤดูใบไม้ผลิ จะอยู่ราว ๆ เดือนมีนาคม-พฤษภาคม อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 10-24 องศาเซลเซียส เป็นช่วงที่เที่ยวได้สบายที่สุด ต้นไม้ใบหญ้าจะออกสีเขียวๆ หน่อย ใส่เสื้อกันหนาวธรรมดาก็อยู่ได้
ฤดูร้อน จะอยู่ช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 16-31 องศาเซลเซียส แดดแรงๆ แน่นอน ใครขี้หนาวมาช่วงนี้แทนได้
ฤดูใบไม้ร่วง อยู่ระหว่างเดือนกันยายน-พฤศจิกายน อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 4-20 องศาเซลเซียส ช่วงนี้จะมีใบไม่เปลี่ยนสีให้ดูด้วย สวยงามมาก แต่ถ้าเที่ยวบนเขาลมแรงๆ จะหนาวมาก
ฤดูหนาว อยู่ช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ -3 ถึง 8 องศาเซลเซียส ช่วงนี้จะมีหิมะตก ใครชอบสีขาวโพลนให้มาได้ แต่ถ้าขึ้นเขาอาจหนาวสั่นถึงกระดูก ควรเตรียมร่างกาย และเสื้อผ้าให้พร้อม
====================
cr.https://travel.trueid.net/detail/MVzln9mqeBGY